การวัดและการทดสอบโปรตีนในถุงมือแพทย์ เพื่อป้องกันการแพ้โปรตีน

โปรตีนในถุงมือแพทย์

ถุงมือยางธรรมชาติ หรือถุงมือแพทย์ชนิดใช้แล้วทิ้ง ป็นผลิตภัณฑ์ที่พบบ่อยว่ามีปริมาณของโปรตีนตกค้างอยู่และพบว่าในบางบุคคลมีอาการแพ้โปรตีน โดยเมื่อสวมถุงมือแพทย์แล้วจะมีอาการ ตั้งแต่การแสบคัน เกิดผื่นแดง หรือเป็นลมพิษ ไปจนถึงอาการแพ้ขั้นรุนแรง แต่ทราบหรือไม่ว่า ในถุงมือยางแพทย์ ทั้งชนิดมีแป้งและชนิดไม่มีแป้งนั้น ได้มีการป้องกันและ ทดสอบไม่ให้มีปริมาณของโปรตีนมีมากจนเกิดอาการแพ้ เพื่อให้ผู้ใช้ถุงมือยางธรรมชาติมั่นใจในการใช้ถุงมือชนิดนั้นๆนั่นเอง

ก่อนอื่นเรามาเริ่มกันที่อาการการแพ้โปรตีนนั่นจะเข้าสู่ร่างกายได้หลายช่องทางด้วยกันและอาการส่วนมากที่พบก็จะเป็นอาการของการเกิดผื่นแดง เป็นลมพิษ อาการหอบหืด ไปจนถึงอนาฟาลาซิสเลยทีเดียว และจากการศึกษาของสมาคมโรคภูมิแพ้ของประเทศสหรัฐอเมริกาได้รายงานว่า อาการแพ้โปรตีน ในถุงมือยางธรรมชาตินั่นเกิดได้จากการที่สารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายได้หลายวิธีได้แก่

1) ทางผิวหนัง แน่นอนว่าผิวหนังจะต้องสัมผัสกับถุงมือยางธรรมชาติหรือถุงมือแพทย์ชนิดใช้แล้วทิ้ง เป็นขั้นแรก และเชื่อไหมครับว่านี่เป็นปฏิกิริยาที่เป็นอันตรายมากที่สุด จะเกิดขึ้นเมื่อถุงมือสัมผัสกับพื้นที่เปียกชื้นของร่างกายทำให้อาจมีการซึ่มของโปรตีนเข้าสู่ทางผิวหนังทำให้ร่างกายเกิดอาการแพ้เป็นผื่นแดงเป็นต้น

2) ทางระบบหายใจ เกิดมากโดยเฉพาะถุงมือแพทย์ชนิดมีแป้ง เนื่องจากว่าการที่ใช้แป้งเพื่อป้องกันการติดกันของถุงมือจะดูดซัมโปรตีน จากถุงมือที่ผลิตโดยยางธรรมชาติ และเมื่อมีการใช้ถุงมืออนุภาคเหล่านั้นอาจหลุดลอยปะปนอยู่ในอากาศ ทำให้บริเวณใกล้เคียงหากมีการหายใจจะทำให้ผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้นได้รับโปรตีนไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ

3) การสัมผัสกับเยื่อบุภายในเยื่อบิมิวคัส กรณีนี้จะเกิดเฉพาะการได้รับการผ่าตัดจะเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงมากเนื่องจากการสัมผัสกับถุงมือยางระหว่างการทำการผ่าตัด ดังนั้นหากตัวท่านมีอาการแพ้โปรตีนจากยางธรรมชาติควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้งที่มีการรับการรักษา

โดยในปัจจุบันก็ยังไม่สามารถทราบได้ว่าโปรตีนชนิดใดที่เป็นตัวการทำให้เกิดการแพ้อย่างแท้จริง แต่จากข้อมูลในขั้นต้นทำให้ผู้ใช้งานถุงมือยางรวมไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องเกิดอาการระแวง ทำให้เกิดการหลีกเลี่ยงและหันไปใช้ถุงมือยางสังเคราะห์ เช่นถุงมือไนไตรแทน ซึ่งในตัวถุงมือยางสังเคราะห์ก็จะไม่มีโปรตีนชนิดใดๆอยู่ดังนั้นนี้ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่คนแพ้โปรตีนจากยางธรรมชาติควรจะเลือกใช้

แต่จากที่ได้กล่าวมาแล้วว่าในสมัยก่อนอาจมีอาการแพ้แบบรุนแรงของโปรตีนจริงเนื่องจากว่าอาจจะยังไม่มีมาตรการควบคุมปริมาณของโปรตีนในถุงมือยางธรรมชาติชนิดนั้นๆ แต่ในปัจจุบันได้มีการควบคุมและตรวจสอบถุงมือยางธรรมชาติก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการขายกับผู้บริโภค หากถุงมือแพทย์ที่ท่านใช้งานได้ผ่านการตรวจสอบปริมาณโปรตีนที่จะอยู่ในถุงมือยางธรรมชาตินั้นๆ จะมีปริมาณโปรตีนที่ต่ำและมีป้องกันการแพ้ยาง หรือแพ้งแป้งได้ดีครับ

ในวันนี้เราจะมาพูดคุยกันในส่วนของวิธีการทดสอบถุงมือแพย์จากยางธรรมชาติ โดยทำการทดสอบหาโปรตีนกันนั่นเอง

การตรวจสอบโปรตีน

วิธีการตรวจสอบโปรตีนที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้อยู่ 2 วิธี คือ

1. การวิเคราะห์ปริมาณโปรตีนที่สกัดได้ทั้งหมด

2. การประเมินความสามารถในการก่อให้เกิดอาการแพ้โดยตรงหรือปริมาณสารที่ก่อให้เกิดการแพ้

โดยมีรายละเอียดในการวิเคราะห์ต่างๆดังนี้ การวิเคราะห์ปริมาณโปรตีนที่สกัดได้ทั้งหมด : การวิเคราะห์ด้วยวิธีนี้จะเป็นการวิเคราะห์โปรตีนที่สกัดได้ทั้งหมด โดยไม่สามารถแบ่งแยกว่ามีโปรตีนชนิดใดบ้าง แล้วชนิดไหนทำให้เกิดการแพ้ โดยในปัจจุบันจะมีวิธีการวิเคราะห์อยู่ 3 วิธีโดยเลือกวิธีการทดสอบแค่วิธีการทดสอบชนิดใดชนิดหนึ่งดังนี้

การวิเคราะห์โดยการเทียบสี (Colorimetric analysis)

จะแบ่งออกเป็นอีก 2 วิธีได้แก่

1) Modified Lowry คือการวิเคราะห์ปริมาณโปรตีนจากผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากน้ำยางธรรมชาติ เช่นถุงมือยางธรรมชาติ โดยจะมีขั้นตอนในการทดสอบดังนี้

  • การสกัดโปรตีน (Protein Extraction) จะเป็นการนำถุงมือยางธรรมชิเข้าสู่กระบวนการสกัดโปรตีนด้วยกรดทำให้โปรตีนเกิดการตกตะกอน
  • การตกตะกอนโปรตีน (Protein Precipitation) เมื่อมีการตกตะกอนของโปรตีนแล้วจะทำการกรองตะกอนแยกออกจากกรดโดยการละลายด้วยอัลคาไลน์ เพื่อทำการทดสอบหาปริมาณโปรตีนต่อไป
  • การหาปริมาณโปรตีน (Protein Quantitation) จะทำการทดสอบด้วย Colorimeter โดยจะทำปฏิกิริยากับพวก Copper เป็นต้นซึ่งหากเป็นโปรตีนแล้วในส่วนนี้จะได้สารสีน้ำเงินออกมา จากนั้นเข้าสู่ขั้นตอนการวัดแสงต่อไป

2) Bradford assay คือวิธีวิเคราะห์หาโปรตีนโดยอาศัยหลักการความสุมดุลระหว่าง Coomassie Brillant Blue G-250 และการรวมตัวกันของ Coomassie Brillant Blue G-250 กับโปรตีนแบบเฉพาะเจาะจง โดย Coomassie Brillant Blue G-250 เมื่ออยู่ภายใต้สภาวะกรดเข้มข้นจะให้สีน้ำตาลแดงอ่อนๆออกมา และเมื่อมีการทำปฏิกิริยากับโปรตีนจะให้สีน้ำเงิน ซึ่งในการทดสอบหากยิ่งมีปริมาณของกรดอะมิโนมากเท่าใด การเกิดสีก็จะทำได้อย่างชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น และจากนั้นจะเป็นการนำไปวัดการดูดกลืนคลื่นแสงต่อไป

ซึ่งจากการทดสอบเปรียบเทียบกันทั้ง 2 วิธี สามารถทำได้อย่างง่ายพอๆกันแต่เนื่องจากวิธีที่ 2) Bradford assay จะมีข้อเสียตรงที่หากมีการรบกวนของสารอื่นที่ไม่ใช่โปรตีนการทดสอบอาจจะทำให้ดูกราฟของการดูดกลืนคลื่นแสงไม่ค่อยชัดดังนั้นทำให้วิธี Modified Lowry ได้รับความนิยมในการทดสอบมากกว่านั่นเอง

การวิเคราะห์ด้วยเทคนิคโครมาโตกราฟี (Chromatographic analysis)

คือการวิเคราะห์หาปริมาณของกรดอะมิโนแต่ละชนิดด้วยเครื่อง High Performance Luquid Charomatography (HPLC) โดยที่ปริมาณของโปรตีนจะเท่ากับกรดอะมิโนทั้งหมดแบ่งวิธีการออกเป็น 2 วิธี คือ

การวิเคราะห์กรดอะมิโนโดยใช้ HPLC จะเป็นการวิเคราะห์โปรตีนและเปปไทด์โดยอาศัยการหาปริมาณของกรดอะมิโน การหาความเข้มข้นของสารละลายเปปไทด์ การจับตัวของโปรตีนกับแอนติบอดี้และการวิเคราะห์ปลายสายโปรตีนโดยการย่อยของเอนไซม์ มี 4 ขั้นตอนดังนี้

1. ไฮโดรไลซิส วิธีการไฮโดรไลซิสหรือที่เรียกว่าการทำให้โปรตีนแตกตัว ไฮโดรไลซิสจะทำลายพันธะเปปไทด์และให้กรดอะมิโนอิสระ

2. การแยก โดยใช้คอลัมน์โครมาโตกราฟี วิธีนี้จะต้องทำการเตรียมคอลัมน์สำหรับการแยกสารโดยคอลัมน์จะมีลักษณะแตกต่างตามการใช้งาน

3. การสร้างอนุพันธ์ ด้วยสารที่มีสีเพื่อช่วยในการแยก เนื่องจากการแยกในบางครั้งจะปรากฏพีกที่ซ้อนทับกันค่อนข้างซับซ้อน ทำให้ต้องมีการเติมสีเพื่อช่วยให้เครื่องอ่านพีกของสารได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น

4. การวิเคราะห์ตำแหน่งของพีกของกรดอะมิโนแต่ละตัว จะเป็นการนำตำแหน่งพีกของกรดอะมิโนที่ได้มาเทียบกับตำแหน่งพีกกรดอะมิโนมาตรฐานจะสามารถบอกได้ว่าเป็นกรดอะมิโนชนิดใด และสามารถนำไปคำนวณปริมาณกรดอะมิโนได้จากพื้นที่ใต้กราฟ เมื่อนำปริมาณกรดอะมิโนทั้งหมดมารวมกันจะได้ปริมาณโปรตีน

การทดสอบภูมิคุ้มกัน (Immunoassay) เป็นวิธีการหาโปรตีนแอนติเจนโดยอาศัยหลักการการเกิดอันตรกิริยาเฉพาะเจาะจงระหว่างโปรตีนกับโปรตีน โดยวิธีการนี้จะมีข้อจำกัดอยู่ที่ว่าหากมีปริมาณของโปรตีนที่ต่ำมากๆจะเกิดความผิดพลาดขึ้น และต้องใช้แอนติบอดี้ที่มีความเฉพาะเจาะจง และยังมีปัญหาเนื่องจากชนิดของโปรตีนจากน้ำยางธรรมชาติซึ่งได้มาจากน้ำยางหลายชนิด ทำให้มีความแตกต่างกันสูงมาก ทำให้วิธีนี้จะไม่เหมาะสมสำหรับในการหาปริมาณของโปรตีนซักเท่าใด

Right001

การประเมินความสามารถในการก่อให้เกิดการแพ้โปรตีนในถุงมือยางโดยตรงหรือปริมาณสารที่ก่อให้เกิดการแพ้

จะสามารถทำได้ทั้งหมด 2 วิธี คือการทดสอบทางคลินิกหรือทางผิวหนัง และการทดสอบทางเซรุ่มวิทยาหรือทางเลือด

  • การทดสอบทางคลินิก การทดสอบทางผิวหนังมี 4 ชนิดด้วยกันคือ การขูด การจิ้ม การฉีดยาใต้ผิวหนังและการแปะสารที่ผิวหนัง โดยสามชนิดแรกจะใช้สารสกัดที่สงสัยว่าจะแพ้มาทำการทดสอบที่ผิวหนังเพื่อดูว่าร่างกายเกิดปฏิกิริยาการแพ้ต่อโปรตีนหรือไม่ โดยจากการทดสอบในแต่ละชนิดมีวิธีทดสอบที่แตกต่างกันตรงวิธีการนำสารสกัดเข้าสู่ผิวหนัง ปกติแล้วจะทำการทดสอบที่แขนหรือแผ่นหลัง จากนั้นดูผลของปฏิกิริยาประมาณ 10-20 นาที ถ้ามีตุ่ม ผื่นแดงๆ แสดงว่าเกิดปฏิกิริยาแพ้ต่อโปรตีน และอาจจะมีการทดสอบซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้แน่ใจว่ามีอาการแพ้อย่างแท้จริงนั่นเอง
  • การทดสอบทางเซรุ่มวิทยาหรือทางเลือด การทดสอบชนิดนี้ทำได้หลากหลายวิธีมากๆเช่น การวัดความเข้มข้นของอิมมูโนกลอบินอี (lge) ทั้งหมดในเลือด เพื่อหาว่าผู้ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้หรือไม่นั่นเอง และอาจจะทำให้ทราบโรคอีกหลายหลากชนิดอีกด้วย โดยวิธีการประเมินความสามารถในการก่อให้เกิดการแพ้นี้จะเฉพาะเจาะจงสำหรับสารที่ก่อให้เกิดการแพ้จากน้ำยางธรรมชาติมากกว่าวิธีวิเคราะห์โปรตีนที่สกัดได้และจากการทดสอบจะทำให้ทราบว่าการทดสอบโดยตรงกับผิวหนังจะให้ผลที่แน่นอนที่สุดอีกด้วย
จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดจะพบว่ากระบวนการวัดปริมาณโปรตีนในถุงมือแพทย์จากยางธรรมชาตินั่นไม่ง่ายเลย แต่กระบวนการเหล่านี้จะช่วยลดความกังวลเรื่องการแพ้ยางธรรมชาติ (โปรตีนในยางธรรมชาติ)ได้มากทีเดียว  หากท่านผู้อ่านสนใจถุงมือแพทย์ราคาถูก ถุงมือไนไตรราคาถูก สามารถขอตัวอย่างได้โดยตรงกับทางบริษัทฯครับ

@@@ สงวนลิขสิทธิ์บทความ ห้ามทำซ้ำ ด้วยวิธีการใดๆ ลงในสื่อใดๆทั้งสิ้น @@@

@@@ หากพบ จะดำเนินคดีตามกฏหมาย @@@

Similar Posts

  • ถุงมือไนไตร: จะเลือกซื้ออย่างไรดี?

    เราทราบกันแล้วว่า ถุงมือยางแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน. ขึ้นกับวัตถุประสงค์การใช้งาน เช่น ถ้าคุณต้องการถุงมือที่ไม่สร้างอาการแพ้ ไม่ว่าจะอาการแพ้แป้ง แพ้ยาง แพ้โปรตีน ทนทานต่อสารเคมี พวก กรด เบส น้ำมัน ต่างๆ เหนียว ทน ไม่ฉีกขาด ไม่แตกง่าย ผมว่าในกรณีอย่างนี้ ถุงมือที่เหมาะสมน่าจะเป็นถุงมือยางไนไตร เมื่อใดก็ตามที่คุณต้องการถุงมือไนไตรดีๆสักคู่ คุณก็ต้องการถุงมือที่ทนทานสามารถทนทานต่อการใช้งานหนักๆได้ และป้องกันมือคุณได้ดีตลอดการทำงาน ในปัจจุบันมีโรงงานผลิตถุงมือไนไตร ได้ผลิตถุงมือไนไตรจำนวนมากหลายแบบ หลายสี และหลายยี่ห้อ ซึ่อแต่ละเจ้าผู้ผลิต ก็สามารถผลิตถุงมือยางไนไตรที่ดี และปกป้องมือคุณได้เหมือนๆกันแล้วเราจะเลือกถุงมือไนไตรที่เหมาะกับเราที่สุดได้อย่างๆไร?

  • ถุงมือชนิดมีแป้งต่างจากชนิดไม่มีแป้งอย่างไร

    ถุงมือแพทย์จากยางธรรมชาติ หรือถุงมือยางตรวจโรค นั้นในท้องตลาด แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ถุงมือแพทย์จากยางธรรมชาติชนิดมีแป้ง  และ ถุงมือแพทย์จากยางธรรมชาติชนิดไม่มีแป้ง  ซึ่งดูเผินๆแล้วคล้ายกันมาก เพราะ ออกสีขาวๆ เหมือนกัน แต่ทั้งสองแบบ มีความแตกต่างกันในหลายๆด้าน ทั้งองค์ประกอบ, การใช้งาน และราคา และในบทความนี้เราจะมารู้จักถุงมือทั้ง 2 ชนิดกันครับ

  • ถุงมือไนไตร : ทนสารเคมีได้ดีกว่า

    ถุงมือไนไตร : ทนสารเคมีอะไรได้บ้าง หากท่านผู้อ่านได้ติดตามบทความของทางเวป siamglove.com มาโดยสม่ำเสมอ จะทราบว่าถุงมือไนไตรจะมีข้อแตกต่างจากถุงมือแพทย์จากยางธรรมชาติหลายๆด้านเช่น เหนียวกว่า แข็งแรงกว่า ทนทานกว่า ป้องกันการแพ้ได้ดีกว่าเป็นต้น แต่โดยหลักๆแล้ว เรามักจะใช้ถุงมือไนไตร เพื่อป้องกันการอาการแพ้ และจำเป็นต้องใช้งานที่ต้องสัมผัสสารเคมี กรด เบส แอลกอฮอล์ น้ำมัน ไขมันต่างๆ ทางเวปได้เคยเขียนบทความถึงข้อจำกัดของถุงมือยางธรรมชาติ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ โปรตีนที่อยู่ในยางธรรมชาติ อาจก่อให้เกิดการแพ้แก่ผู้สวมใส่บางคน ซึ่งโปรตีนนั้นในอาจสัมผัสร่างกายของผู้สวมใส่ได้ทั้งทางผิวหนังและทางระบบหายใจ หากผู้ที่มีอาการแพ้โปรตีนสวมใส่ ก็อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ในระดับต่างๆ ตามสภาพร่างกายของแต่ละคน ซึ่งมีตั้งแต่ เป็นผื่นแดง คัน เป็นตุ่ม จนถึงอาการหืดหอบ หรือช๊อกได้ นอกจากขจัดปัญหาเรื่องการแพ้ยางแล้ว ถุงมือไนไตร ยังทนต่อสารเคมีได้มากชนิดทั้งกรด เบส ไขมัน น้ำมันต่างๆ ซึ่งหากนำถุงมือแพทย์จากยางธรรมชาติไปสัมผัส อาจเกิดการละลายได้ (หากสารละลายนั้นเข้มข้นเกินไป)

  • แพ้ยาง! หากแพ้ถุงมือยาง ควรทำอย่างไร

    ถุงมือแพทย์ถุงมือแพทย์ที่ใช้ หากแพ้ยางจากถุงมือต้องทำอย่างไร? ถุงมือแพทย์จากยางธรรมชาตินั้น ได้มาจากต้นยางพารา ซึ่งเดิมจะเป็นน้ำยางมีลักษณะเป็นนของเหลวขุ่นข้น แล้วผ่านกระบวนการผลิตจนเป็นถุงมือยางชนิดถุงมือแพทย์ ซึ่งในบางครั้งอาจเกิดปัญหาเรื่องการแพ้ยางกับผู้สวมใส่ อันที่จริงไม่ได้เกิดจากยางหรอกครับ แต่ปัญหาเรื่องการแพ้ยางจะเกิดเพราะโปรตีนที่อยู่ในยางธรรมชาติมากกว่า ตั้งแต่ปี 1980 เป็นต้นมา โปรตีนจากยางธรรมชาติซึ่งใช้ในการผลิต ถุงมือยาง ถุงยาง ลูกโป่ง หนังยาง ยางลบ และของเล่น ได้สร้างปัญหาแก่ผู้สวมใส่ที่มีอาการแพ้ จวบจนกระทั่งในปี 1990 ได้มีกาคิดค้นยางสังเคราะห์ หรือยางธรรมชาติแบบชนิดไม่มีแป้งขึ้นมาได้ ทำให้ปัญหาเรื่องการแพ้แป้งลดลงไปอย่างมาก

  • ถุงมือไนไตร : คืออะไร? เมื่อไหร่ควรใช้?

    ถุงมือไนไตร ประวัติและที่มา เชื่อว่าท่านผู้อ่านคงเคยได้ยินถุงมือไนไตรมาบ้างนะครับ แม้ว่าบางท่านอาจไม่รู้จักมันเลย และเรียกชื่อผิดๆ เป็น ถุงมือไนโตร เพราะบ่อยครั้งมีบางท่านโทรมาถามว่า มีถุงมือไนโตร จำหน่ายหรือไม่ ก็คงไม่แปลกหากท่าน เรียกชื่อมันผิดๆถูกๆ เพราะเราไม่รู้คุ้นกับมันเท่าไหร่ เพราะถ้าเราพูดถึงถุงมือตรวจโรคชนิดใช้แล้วทิ้ง เกือบจะทุกท่านจะนึกถึงถุงมือแพทย์จากยางธรรมชาติ เพราะเหตุผลหลายๆประการเช่น บ้านเราผลิตยางธรรมชาติได้มาก เราจึงคุ้นเคยกับยางธรรมชาติมากกว่ายางสังเคราะห์ ถุงมือแพทย์จากยางธรรมชาติ มีมานานกว่า เราจึงรู้จักถุงมือแพทย์จากยางธรรมชาติได้ดีกว่า ถุงมือยางธรรมชาติ มีราคาถูกกว่า จึงมีใช้กันมากกว่า ไปที่ไหนก็เห็น เราจึงคุ้นเคยกับมันมากกว่า ถุงมือไนไตรเริ่มผลิตครั้งแรกเมื่อปี 1980 (ราวปี พ.ศ. 2523) โดย นายนิล ทีลลีสัน (Neil Tillitson) และ นายลุค เดอร์เบกเกอร์ (Luc DeBecker) ต่อมาในปี 1990 ได้มีการพัฒนาเทคนิดและกระบวนการผลิต และมีการจดสิทธิบัตรในปี 1991

  • ถุงมือแพทย์ไม่มีแป้ง:ควรใช้หรือไม่

    ถุงมือแพทย์ไม่มีแป้ง จะมีก่อให้เกิดการแพ้แป้งแก่ผู้สวมใส่ แต่การที่ไม่มีแป้ง จะทำให้สวมถุงมือยากขึ้น บทความนี้เราจะรู้ว่าควรใช้ถุงมือชนิดไม่มีแป้งหรือไม่